ก่อนแสงแรกจะส่องถึงพื้นถนนของกรุงเทพฯ
เสียงไม้กวาดก็เริ่มก้องสะท้อนในความมืดสลัวของถนนสายต่าง ๆ เจ้าหน้าที่กวาดถนน
หรือ “พี่ไม้กวาด”
คือกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อให้เมืองสะอาดก่อนที่ใครจะเริ่มต้นวัน
แต่ทุกก้าวกวาดของพวกเขาแฝงด้วยความเสี่ยง จากรถที่แล่นเร็ว
ผู้ขับขี่ที่ไม่ทันระวัง ไปจนถึงอันตรายในถังขยะที่ไม่มีใครรู้ว่าซ่อนอะไรอยู่
สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้พวกเขากลับบ้านได้อย่างปลอดภัยคือ “เสื้อกั๊กสะท้อนแสง”
ที่สวมไว้ในทุกวัน
นายนัฐพร พรายเล็ก พนักงานกวาดถนนเขตธนบุรี ทำงานตั้งแต่บ่ายถึงสามทุ่ม
และบ่อยครั้งในช่วงเช้ามืดที่อันตรายที่สุด
และช่วงหัวค่ำหลังหกโมงเย็นไปจนถึงสามทุ่มก็เสี่ยงไม่แพ้กัน
เพราะแสงเริ่มน้อยลงและรถก็เริ่มหนาแน่นขึ้น เขายอมรับว่า “แค่แสงสะท้อนเล็ก ๆ บนเสื้อ
สามารถช่วยชีวิตได้” ยิ่งในช่วงเย็นที่รถหนาแน่น
การมองเห็นชัดตั้งแต่ระยะไกลคือความปลอดภัยที่พนักงานทุกคนรอคอย
โดยเฉพาะเสื้อกั๊กสะท้อนแสงรุ่นใหม่ที่ผลิตจากขวด PET รีไซเคิล
11 ขวดต่อหนึ่งตัว สีสดกว่ารุ่นเดิมและสะท้อนแสงได้ดี
“ช่วงเช้ามืดก็กลัวเหมือนกัน
บางทีคนขับรถเมากลับจากสถานบันเทิง ถ้าอยู่บนถนนจะอันตรายมาก
ก็จะพยายามเลือกยืนกวาดจุดที่ปลอดภัย ถ้าจุดไหนเสี่ยงก็จะขึ้นมากวาดบนทางเท้าแทน
แล้วก็ต้องคอยมองรถตลอดเวลา เสื้อสะท้อนแสงก็ช่วยเยอะ รถจะเห็นเราได้ง่ายขึ้น
ก็อยากให้เจ้าหน้าที่กวาดขยะทุกเขตใน กทม. ได้ใส่เสื้อใหม่ๆ
ทุกคน”
แต่ความเสี่ยงของพี่ไม้กวาดไม่ได้มีแค่บนถนน
ในถังขยะยังมีเศษกระเบื้อง ตะปู ของมีคมที่ต้องเก็บด้วยความระมัดระวัง “บางทีเจอของน่ากลัว
แต่ก็ต้องเก็บ เพราะเป็นหน้าที่” จึงต้องสวมถุงมืออยู่ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย
เพราะสำหรับคนทำงานในลักษณะนี้
การป้องกันไว้ก่อนสำคัญกว่าการเสี่ยงเจ็บตัวจากความประมาท
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่หนักแน่น
เสื้อกั๊กที่มีเรื่องราว:
ขยะที่กลับมาปกป้องผู้คนที่ดูแลเมือง
เสื้อกั๊กสะท้อนแสงเหล่านี้ไม่ใช่เพียงอุปกรณ์นิรภัย
แต่คือผลลัพธ์ของความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งกรุงเทพมหานคร ภาคเอกชน และประชาชน
โดย PPP Plastics ร่วมกับ มูลนิธิมือวิเศษกรุงเทพ และ กทม.
ผลักดันโครงการ “มือวิเศษกรุงเทพ แยกเพื่อให้...พี่ไม้กวาด”
เชิญชวนให้ประชาชนคัดแยกขยะพลาสติกสะอาดจากต้นทาง และนำไปส่งยังจุดรับบริจาคทั้ง 50
เขตของกรุงเทพฯ รวมถึงศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า และดินแดง
โดยได้รับการผลักดันจากสมาชิกภาคเอกชนที่เข้มแข็งหลายองค์กร เช่น กลุ่มบริษัท ดาว
ประเทศไทย (Dow) บริษัทวัสดุศาสตร์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในฐานะสมาชิกของภาคีมือวิเศษ
ซึ่งเข้ามาทำงานกับเจ้าหน้าที่และชุมชนในกรุงเทพมหานครอย่างใกล้ชิด
จากขวดน้ำธรรมดา ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสื้อกั๊กสะท้อนแสงกว่า 1,200 ตัว ลดปริมาณพลาสติกกว่า 120,000
กิโลกรัม และที่สำคัญ
กลับมาปกป้องชีวิตคนทำงานที่ออกเดินบนท้องถนนก่อนใคร
พี่ไม้กวาด:
จากผู้กวาดถนนสู่ “นักประชาสัมพันธ์แยกขยะ” ของชุมชน
เสื้อกั๊กเหล่านี้ยังสร้างแรงบันดาลใจให้พี่ไม้กวาดมีบทบาทใหม่
การเป็น “นักประชาสัมพันธ์ขยะ” หลายคนลุกขึ้นมาสื่อสารเรื่อง ขยะมีค่า
ต่อชุมชน เขาเล่าว่ามักเดินคุยกับชาวบ้าน ชวนแยกขยะ
และช่วยผู้สูงอายุใช้งานแอปพลิเคชันคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี
เมื่อประชาชนเห็นว่าขยะสามารถบริจาคไปทำเสื้อได้
ก็ตระหนักรู้มากขึ้นว่าขยะพลาสติกมีค่า
สามารถทำประโยชน์ได้จึงเริ่มใส่ใจการแยกขยะมากขึ้น
หลังจากโครงการแยกขยะเริ่มต้นขึ้น
เขาสังเกตเห็นว่าปริมาณขยะในพื้นที่ลดลง
เพราะประชาชนในพื้นที่เริ่มนำขยะรีไซเคิลไปขาย และนำเศษอาหารไปทำปุ๋ย
ไม่ต้องทิ้งรวมกันทั้งหมดเหมือนแต่ก่อน
พื้นที่ตัวอย่างอย่างชุมชนวัดบุปผารามมีจุดคัดแยกทุกวันที่ 17 ของเดือน
โดยเจ้าหน้าที่เขตจะประสานกับบริษัท เวสบาย เดลิเวอรี่ จำกัด
มารับซื้อขยะรีไซเคิลจากชาวบ้านโดยตรง ทำให้เกิดระบบรีไซเคิลเล็ก ๆ ภายในชุมชน
ช่วยสร้างรายได้และลดปริมาณขยะที่ต้องส่งกำจัด
“อยากขอบคุณที่นำขยะกลับมารีไซเคิล
กลายเป็นเสื้อกั๊กสะท้อนแสงรุ่นใหม่ให้เราได้ใส่ ก็มีความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น” นายนัฐพร พรายเล็ก กล่าวแทนใจพี่ไม้กวาดที่ได้รับเสื้อรุ่นใหม่
เสียงจากผู้อำนวยการเขต:
ความเสี่ยงที่ไม่เคยหายไป และความร่วมมือที่ยังต้องเดินหน้า
ว่าที่ร้อยตรี เดชาธร แสงอำนาจ ผู้อำนวยการเขตธนบุรี อธิบายภาพรวมว่า เขตมีพนักงานกวาดกว่า 225 คน ทำงานสองรอบ
รอบเช้าเริ่มงานตั้งแต่ตี 5 ถึงบ่ายโมง
และรอบบ่ายเริ่มบ่ายโมงถึงประมาณสามทุ่ม
“บางทีเจ้าหน้าที่กวาดอยู่บนทางเท้าก็ยังมีมอเตอร์ไซค์ที่ฝ่าฝืนระเบียบกฎหมาย
ชอบขับขี่ขึ้นบนทางเท้า ก็จะมีปัญหา
ส่งผลถึงความไม่ปลอดภัยต่อผู้ที่ใช้ทางเท้าหรือผู้ที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่น”
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้
อุปกรณ์ป้องกันพื้นฐานที่จำเป็น คือ เสื้อกั๊กสะท้อนแสง
ซึ่งทางสำนักงานเขตได้แจกให้กับพนักงานกวาดทุกคน
“เสื้อกั๊กสะท้อนแสงต้องใส่ทำงานทุกวัน
เมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่ง ซักบ่อยๆ สีก็ซีดจางลง
เมื่อมีเสื้อตัวใหม่จากขวดรีไซเคิลที่ประชาชนบริจาคมาเสริมใส่สลับกับที่มีอยู่
ช่วยให้เสื้อไม่เก่าเร็ว เหมือนกับว่าทั้งปีมีของใหม่ใช้ตลอดเวลา
เขตธนบุรีเป็นเขตนำร่อง ได้รับเสื้อกั๊กใหม่กว่า 200 ตัว
และได้เสียงตอบรับที่ดีจากเจ้าหน้าที่ทุกคน”
เบื้องหลังของโครงการนี้ยังมีพลังจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
นี่คือตัวอย่างของการทำงานร่วมกันที่เห็นผลเป็นรูปธรรม เมื่อขยะที่เคยไร้ค่า
กลายเป็นเสื้อกั๊กสะท้อนแสงที่ช่วยชีวิต
และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการหมุนเวียนทรัพยากร
แต่ที่สำคัญกว่าการแจกเสื้อคือ “ความต่อเนื่องของระบบ”
ทั้งการรณรงค์ขับขี่ปลอดภัย การหมุนเวียนอุปกรณ์ป้องกัน
และการทำงานร่วมกับภาคีเอกชน เช่น กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย
เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากปลายไม้กวาดสู่ต้นทางขยะ:
“บ้านนี้ไม่เทรวม” สร้างเมืองที่ปลอดภัยและยั่งยืน
เมืองสะอาดไม่ได้มีเพียง “ไม้กวาด”
แต่ยังมีการจัดการตั้งแต่ต้นทาง ว่าที่ร้อยตรี เดชาธร แสงอำนาจ
ผู้อำนวยการเขตธนบุรี เล่าว่า
สำนักงานเขตเน้นการรณรงค์ร่วมกับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยเฉพาะร้านอาหารกว่า 200 แห่ง
ให้แยกเศษอาหารตั้งแต่ต้นทาง ตาม โครงการบ้านนี้ไม่เทรวม ของ กทม.เพื่อให้ปริมาณขยะที่ต้องส่งกำจัดลดลง
เขตธนบุรีผลักดันให้ร้านค้าและชุมชนร่วมแยกเศษอาหารตามโครงการ
“บ้านนี้ไม่เทรวม” ทำให้ขยะที่ต้องส่งกำจัดลดลง
โดยคัดแยกเป็นเศษอาหารมีปริมาณน้ำหนักเฉลี่ย 11.37 ตันต่อวัน จะถูกนำไปทำปุ๋ยหรือส่งให้เกษตรกร
และมีขยะรีไซเคิลที่คัดแยกเพิ่มขึ้นในพื้นที่มีปริมาณน้ำหนักเฉลี่ย 40.10 ตันต่อวัน โดยจะมีระบบรับซื้อจากชุมชนทุกเดือน โดยมีจุด Drop-off ที่ทางสำนักงานเขตกำหนดไว้ 7 จุด รับซื้อขยะโดย บริษัท เวสบาย เดลิเวอรี่
จำกัด ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้คนที่เข้าร่วมและนำขยะรีไซเคิลเข้าสู่ระบบมากขึ้น
“มีภาคีเครือข่ายที่เข้ามาร่วมในการจัดการขยะอินทรีย์และขยะรีไซเคิล
ได้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บริษัท JAK Reword Technology
บูรณาการนวัตกรรม Blockchain ในการเก็บข้อมูลปริมาณน้ำหนักมูลฝอยของสมาชิกที่คัดแยกขยะ
และเข้าร่วมกับสำนักงานเขตธนบุรีของเรา
โดยร้านค้าและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้ง่าย ตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใส
รวมถึงมีระบบคำนวณ Carbon Footprint แสดงผลผ่าน Dashboard
บนแพลตฟอร์มของสำนักงานเขตธนบุรี”
จาก เสื้อกั๊กสะท้อนแสง ที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล
ไปจนถึงโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม” ล้วนสะท้อนแนวคิดเดียวกัน
คือการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อลดภาระปลายทาง ซึ่งไม่เพียงช่วยเมืองสะอาดขึ้น
แต่ยัง ปกป้องชีวิตคนทำงานบนถนน และสร้างเมืองที่ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม