จากการริเริ่มของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ซึ่งร่วมมือกับ SCGC
นำโครงการถนนพลาสติกที่ Dow ได้ทำสำเร็จในหลายประเทศทั่วโลกเข้ามาทดลองทำในประเทศไทย
สู่ความร่วมมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วน ทั้งภาควิชาการโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภาคเอกชน บริษัท อริยสิน จำกัด และภาครัฐโดยกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
และ PPP
Plastic (โครงการความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม
เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน)
และรับการสนับสนุนงบประมาณวิจัยจากองค์กรระหว่างประเทศ Alliance to End
Plastic Waste (AEPW) เพื่อให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ทำการศึกษาวิจัยเจาะลึก
เพื่อสร้างกระบวนการในการนำพลาสติกใช้แล้วมาประยุกต์ใช้สร้างถนนให้เหมาะสมกับกระบวนการที่ใช้ประเทศไทย
รวมทั้งศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการแถลงผลการศึกษาของเฟส 1 เมื่อเร็วๆ
นี้ ซึ่งมีผลดีที่น่าพอใจ
พร้อมทั้งกำลังทำการศึกษาวิจัยต่อยอดในถนนทดลองจริงของภาครัฐ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนสำหรับสร้างเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กับการสร้างถนนของภาครัฐต่อไป
“การศึกษานวัตกรรมถนนพลาสติก Paving Green Road Study เฟส 1 ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
โดยมีการประเมินผลของการใช้พลาสติกเป็นส่วนผสมของถนนยางมะตอย รวมถึงผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศและน้ำ
ความสามารถในการรีไซเคิล และคุณสมบัติเชิงกลศาสตร์ของยางมะตอย
โดยจากผลการศึกษาเฟสแรกในห้องทดลอง
พบว่าพลาสติกรีไซเคิลที่นำมาเป็นส่วนผสมของการทำพื้นถนน
ไม่พบสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่มีความแข็งแรงของถนนดีขึ้นและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
มีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ถนน และประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
เฟสต่อไปของโครงการฯ จะก้าวเข้าสู่การทดลองบนถนนจริง
ซึ่งต้องขอขอบคุณกรมทางหลวงชนบทที่ได้จัดสรร
ถนนส่วนหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ให้ใช้ในการทดสอบ และเมื่อการทดสอบบนท้องถนนจริงประสบความสำเร็จ
ก็จะสามารถสร้างตลาดใหม่เพื่อรองรับขยะพลาสติก
และกลายเป็นช่องทางในการกำจัดขยะพลาสติกจากสิ่งแวดล้อมได้ ทั้งนี้
จะมีการเผยแพร่การศึกษาวิจัยในครั้งนี้สู่สาธารณะชนในรูปแบบ open source เพื่อประโยชน์ในการจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืนต่อไป” นายนิโคลัส โคลเลช
รองผู้อำนวยการองค์กร Alliance
to End Plastic Wastes กล่าว
รศ.ดร.พีรพงศ์ จิตเสงี่ยม หัวหน้าคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า
“การทดสอบในห้องทดลองมีการประเมินผล 4 ด้านหลัก ได้แก่ ปริมาณไมโครพลาสติกในอากาศ
การปนเปื้อนพลาสติกในน้ำ คุณสมบัติด้านวิศวกรรมของแอสฟัลต์ผสมพลาสติก
และความสามารถในการนำมารีไซเคิล ซึ่งผลการทดสอบในแบบจำลองห้องทดลองในเฟสแรก พบว่า
วัสดุผสมระหว่างพลาสติกและหินร้อนยางมะตอยไม่ทำให้เกิดก๊าซพิษ (Toxic Gas) และไม่พบไมโครพลาสติกปนเปื้อนในอากาศ
และเมื่อทดสอบในสภาพจำลองการขัดผิวเทียบเท่ากับการใช้ถนน 7 ปี
ก็ไม่พบพลาสติกหลุดปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับแอสฟัลต์ที่ไม่ผสมพลาสติก พบว่า
วัสดุแอสฟัลต์ผสมพลาสติกมีคุณสมบัติด้านวิศวกรรมดีกว่าทุกมิติ โดยเฉพาะความสามารถต้านทานการกัดเซาะของน้ำและความชื้นที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้
ยังสามารถนำวัสดุดังกล่าวที่ผ่านการใช้งานแล้วมารีไซเคิลเพื่อใช้งานใหม่ได้ประมาณ
10% ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า การสร้างถนน 1 กิโลเมตร จะใช้ขยะพลาสติกประมาณ
300-600 กิโลกรัม"
ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า “ในปี 2565
ได้นำแอสฟัลต์ผสมพลาสติกไปใช้ในโครงการถนนทดสอบผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีตผสมขยะพลาสติกในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ซึ่งมีผิวการจราจรกว้าง 4 เมตร ระยะทาง 900 เมตร โดยใช้แอสฟัลต์คอนกรีต 420 ตัน
ยางมะตอย 20.5 ตัน ขยะพลาสติกทดแทนยางมะตอย 950 กิโลกรัม ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน 2,200 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ขณะเดียวกันก็นำไปใช้สร้างถนนรองรับการจัดงานเกษตรภาคเหนือครั้งที่ 10
มีผิวการจราจรกว้าง 6 เมตร ระยะทาง 740 เมตร ใช้แอสฟัลต์คอนกรีต 533 ตัน ยางมะตอย
26 ตัน ขยะพลาสติกทดแทนยางมะตอย 1,053 กิโลกรัม
ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 2,500
กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งการสร้างถนนแบบนี้ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก
และลดปริมาณยางมะตอยที่ต้องใช้ เท่ากับช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตยางมะตอยไปในตัว”
นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ฝ่ายเลขานุการโครงการ PPP Plastics กล่าวถึงข้อดีของการใช้ขยะพลาสติกมาผสมกับแอสฟัลต์เพื่อสร้างถนนว่า “ปัจจุบัน
ประเทศไทยสามารถรีไซเคิลขยะพลาสติกได้ประมาณ 18% ของขยะพลาสติกทั้งหมด
ซึ่งจากสถิติพบว่า ขยะพลาสติกที่มีปริมาณมากที่สุด คือ ถุงพลาสติก
ที่มีสัดส่วนประมาณ 50% ของขยะพลาสติกทั้งหมด รองลงมาคือ ฟิล์ม และขวดพลาสติก
ขณะเดียวกัน ก็มีการนำถุงพลาสติกไปรีไซเคิลน้อย หรือประมาณ 17% เท่านั้น
ทำให้เห็นภาพชัดว่า จะต้องบริหารจัดการขยะถุงพลาสติกมากขึ้น และการนำขยะถุงพลาสติกมาผสมกับแอสฟัลต์เพื่อทำถนนก็เป็นทางออกที่ดีเพื่อแก้ไขปัญหานี้”
“นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประเมินว่า หากสามารถใช้ขยะพลาสติกปริมาณ 50,000 ตันต่อปีมาทำถนนก็จะช่วยลดปริมาณขยะได้มหาศาล โดยปัจจุบัน
ประเทศไทยรีไซเคิลขยะพลาสติกได้ปีละประมาณ 500,000 ตัน
จากปริมาณขยะพลาสติกทั้งหมดกว่า 2 ล้านตัน
ส่วนที่เหลือต้องฝังกลบและเผาเพื่อผลิตพลังงาน” นายวีระ กล่าวเสริม
นายอนุสิษฐ แสงอริยวนิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท อริยสิน จำกัด
บริษัทรับเหมาสร้างถนนโครงการนำร่องที่ใช้แอสฟัลต์ผสมพลาสติก กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ปรึกษากับกรมทางหลวงชนบทเพื่อออกแบบเครื่องจักรที่เหมาะสมสำหรับการผสมวัสดุปริมาณมาก
และได้นำวัสดุดังกล่าวมาสร้างถนนโครงการทดสอบแล้ว 3 สาย ได้แก่ ทางหลวงชนบท
สบ.3050 บ้านปากบาง จ.สระบุรี ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร กว้าง 8 เมตร ทางหลวงชนบท
ปท.3026 บ้านหนองแค จ.สระบุรี ระยะทาง 0.85 กิโลเมตร กว้าง 9 เมตร
และทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 3224 บ้านป่า-ท่าคล้อ จังหวัดสระบุรี ระยะทาง 0.6
กิโลเมตร กว้าง 9 เมตร
ส่วนผสมที่คิดค้นให้เหมาะสมกับประเทศไทยโดยทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นี้
สามารถใช้สร้างถนนที่ใช้งานได้จริง นี่คือนวัตกรรมที่สามารถนำขยะพลาสติกมารีไซเคิลและใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า
ดังนั้นจึงอยากให้ผู้รับเหมารายอื่นๆ เปิดรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ
เพื่อนำขยะพลาสติกมาสร้างถนนในอนาคตด้วย”