กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย
(Dow)
ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ “ห้องเรียนเคมีดาว” จับมือพันธมิตรจัดการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ด้วยเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนครั้งที่
7 (DOW-CST AWARD 2020-2121) เพื่อส่งเสริมให้ครูและเยาวชนนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาบูรณาการ
ร่วมกันคิดค้นโครงงานการทดลองเคมีย่อส่วน ภายใต้ธีม ‘การทดลองวิทยาศาสตร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืน’
เพื่อชิงทุนการศึกษาและโล่เกียรติยศ
DOW-CST AWARD 2020-2121 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่
7 ภายใต้โครงการ “ห้องเรียนเคมีดาว”
ซึ่งก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 โดยความร่วมมือของกลุ่มบริษัท
ดาว ประเทศไทย (Dow) กับสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ของศาสตราจารย์
ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)
และสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ โดยเปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนทั่วประเทศร่วมประชันไอเดียการปฎิบัติการเคมีแบบย่อส่วนที่ส่งเสริมการประยุกต์ใช้ชุดการทดลองขนาดเล็กและวัสดุในท้องถิ่นเข้ากับการทดลองวิทยาศาสตร์
ซึ่งปีนี้ได้จัดการแข่งขัน ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา
ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 อย่างเคร่งครัด
เพื่อจำกัดจำนวนคนเข้าร่วมงาน
ตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19
ในปีนี้จึงได้มีการคัดเลือก 27 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบที่ 2 และจัดการประกวดแบบออนไลน์อีกครั้งเพื่อให้เหลือทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรอบสุดท้ายทั้งสิ้นเพียง
11 ทีม แบ่งเป็น ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 5 ทีม และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 6 ทีม โดยทีมที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมได้รับทุนการศึกษา
40,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ ส่วนรางวัลดีเด่นอันดับ 1 และรางวัลดีเด่นอันดับ 2 ได้รับโล่เกียรติยศและทุนการศึกษา
20,000 และ 10,000 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้
คุณครูที่ปรึกษาของทีมชนะเลิศจะเข้ารับพระราชทานโล่เกียรติยศ และครูที่ปรึกษาของทั้ง
27 ทีม ยังได้รับรางวัลครูต้นแบบและได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ
Pure and Applied Chemistry International Conference หรือ
PACCON 2022 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน
- 1 กรกฎาคม 2565 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผู้ชนะเลิศรางวัลยอดเยี่ยมในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
ได้แก่ ได้แก่ โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง จ.ปราจีนบุรี จาก
‘โครงงาน Zero Waste & Natural Reaction’ รางวัลดีเด่นอันดับ
1 ได้แก่ โรงเรียนบุณฑริกวิทยาคาร จ. อุบลราชธานี จาก ‘โครงงานทรัพย์สู่ดิน สินจากน้ำ’ และรางวัลดีเด่นอันดับ
2 ได้แก่ โรงเรียนสุรวิวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา
จากโครงงาน ‘การกำจัดโลหะด้วยเทคนิคการกรอง’
ส่วนผู้ชนะเลิศรางวัลยอดเยี่ยมในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ. นครปฐม จาก ‘โครงงานการติดตามปฏิกิริยากิ่งก่าด้วยสเปกโทรสโกปี’
รางวัลดีเด่นอันดับ 1 ได้แก่ โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง
จ.ปราจีนบุรี จาก ‘โครงงานปฏิกิริยาของกรดและเบส’ และรางวัลดีเด่นอันดับ 2 ได้แก่ โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
กรุงเทพฯ จาก ‘โครงงานชุดอุปกรณ์ย่อส่วนจากเซลล์กัลวานิก’ และโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี จาก ‘โครงงานชุดตรวจวัดฐานกระดาษสำหรับวิเคราะห์น้ำตาลในเครื่องดื่ม’
นายสุพจน์ เกตุโตประการ
ผู้อำนวยฝ่ายธุรกิจ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย
กล่าวว่า “Dow เป็นบริษัทวัสดุศาสตร์ชั้นนำของโลกที่เชื่อมั่นว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะนำมาซึ่งทางออกในการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายของโลก
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน หรือ
การแก้ไขปัญหาปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
สาเหตุของโลกร้อน และการแก้ไขปัญหาขยะ Dow จึงให้ความสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาโดยเฉพาะด้าน
STEM เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักพัฒนานวัตกรรมในอนาคต
ซึ่งจะช่วยพัฒนาให้สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน”
ศ.ดร.สุภา หารหนองบัว
นายกสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “ปี 2565 เป็นปีสากลของวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (International
Year of Basic Sciences for Sustainable Development 2022) ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการส่งเสริมทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กและเยาวชนไทย
พร้อมเดินหน้าจุดประกายให้นักเรียนมีความสนใจเรียนวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น สร้างแรงบันดาลใจและนำองค์ความรู้จากประสบการณ์ที่ได้จากในห้องเรียน
มาพัฒนาเป็นผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ด้วยการทดลองแบบย่อส่วนที่ปลอดภัยและยั่งยืน
เพื่อยกระดับความรู้และความสามารถทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ทางด้านสังคม
สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศ”
ดร.โชติมา หนูพริก
ผู้อำนวยการ กลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (สพฐ.) กล่าวว่า
“การประกวดในครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีและน่าชื่นชมของการก้าวสู่การพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 ซึ่งมุ่งพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
ปฏิรูปกลไกและระบบการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน
อีกทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารและจัดการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
ซึ่งจะส่งผลทำให้นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้
รักที่จะเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย มีความสนุกกับการเรียนรู้
และมีโอกาสได้เรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างสร้างสรรค์ต่อไป”
ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
กล่าวว่า “โครงการนี้เป็นการส่งเสริมให้เยาวชนไทยเข้าถึงและเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์
โดยนำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาบูรณาการและสร้างสรรค์เป็นผลงานในการทดลองวิทยาศาสตร์แบบย่อส่วนที่ปลอดภัยและยั่งยืน
ด้วยเทคนิคและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้สังคมไทยเห็นความสำคัญของงานวิทยาศาสตร์ที่มีต่อการพัฒนาประเทศ
และด้านสิ่งแวดล้อมในการสร้างระบบนิเวศน์ที่ดีและยั่งยืนให้กับโลก”
ศ.ดร.ศุภวรรณ ตันตยานนท์
ผู้อำนวยการโครงการห้องเรียนเคมีดาว กล่าวว่า “การประกวดนี้เป็นเวทีให้คุณครูและนักเรียนได้นำความรู้ด้านเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนในการออกแบบการทดลอง
โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ใกล้ตัวและหาได้ง่ายในท้องถิ่นตนเอง เพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ทดแทนการทดลองแบบเดิมที่ใช้อุปกรณ์ขนาดใหญ่และสารเคมีปริมาณมาก ซึ่งมักทำให้มีความเสี่ยงสูงในการเกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม การทดลองเคมีแบบย่อส่วนมีต้นทุนต่ำ
ค่าใช้จ่ายน้อย ใช้งานสะดวก ทำซ้ำได้หลายครั้ง เสร็จรวดเร็ว ไม่มีของเสีย
และมีความปลอดภัยสูง สามารถทำการทดลองที่ไหนก็ได้
ไม่จำเป็นต้องมีห้องปฏิบัติการมาตรฐานซึ่งต้องลงทุนสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาลำบากในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
เรายังสามารถสอนการทดลองเคมีแบบย่อส่วนผ่านระบบออนไลน์
ทำให้นักเรียนยังคงทำการทดลองไปพร้อมกันอย่างปลอดภัย”
โครงการ
“ห้องเรียนเคมีดาว” หรือ Dow Chemistry Classroom ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2556
เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนวิชาเคมีด้วยเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนที่มีความปลอดภัยสูง
ใช้ปริมาณสารเคมีน้อยกว่าการทดลองแบบปกติถึง 2,000 เท่า
ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดปริมาณของเสีย นักเรียนได้มีโอกาสลงมือทำการทดลองด้วยตนเอง
และลดความเลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาของเด็กทั่วประเทศ ปัจจุบันมีคุณครูที่เข้าร่วมโครงการกว่า
2,000 คน จาก 1,055 โรงเรียน โดยนำชุดมาตรฐานการทดลองแบบย่อส่วนไปใช้สอนนักเรียนทั่วประเทศแล้วกว่า
300,000 คน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการขยายผลจากประเทศไทยไปยังคุณครูในประเทศอื่นๆ
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อถ่ายทอดเทคนิคการเรียนการสอนรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่องอันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างบุคคลากรด้านวิทยาศาสตร์ในอนาคตของทั้งประเทศไทยและอาเซียนต่อไป