ขณะที่คนกรุงเทพฯ
กำลังเตรียมนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่โหมดแยกขยะก่อนทิ้ง แต่สำหรับ “วังหว้า” ชุมชนเล็ก ๆ ในจังหวัดระยอง ที่มีสมาชิกเพียง 500
หลังคาเรือนกลับรู้จักการแยกขยะมานานนับสิบปีแล้ว
จนปัจจุบันได้รับยกย่องให้เป็นชุมชนต้นแบบที่นำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างครบวงจร
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นั้นพวกเขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองจากศูนย์
ย้อนกลับไปเมื่อ
10 กว่าปีก่อน คนในชุมชนบ้านเอื้ออาทรวังหว้า รู้จักแต่เพียงคำว่า “ทิ้งขยะ”
เท่านั้น
ขยะจากทุกครัวเรือนถูกทิ้งไม่เป็นที่เป็นทางส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วหมู่บ้าน
แถมยังมีขยะตกค้างที่กองทับถมกันไปทุกซอกซอย
“ทุกคนไม่ทิ้งขยะในจุดที่ควรทิ้ง
เลยมีขยะตกค้างส่งกลิ่นเหม็นไปทั้งหมู่บ้าน
จนผมตัดสินใจว่าอยู่ไม่ได้แล้วย้ายบ้านดีกว่า” สายัณห์
รุ่งเรือง ผู้นำชุมชนฯ
เล่าถึงวันที่สิ้นหวังกับชุมชนแห่งนี้
แต่ด้วยความที่มีความผูกพันกับคนในชุมชนมานานปี
เขาจึงคิดว่าจะลองไปขอความช่วยเหลือจากเทศบาลในฐานะ ‘ผู้ประสบภัย’ ดีกว่า “ผมไปคุยกับ ผอ.กองสาธารณสุข
ท่านก็ให้กำลังใจบอกว่าน้องเรื่องขยะมันจัดการยาก ในเขตเทศบาลเรา
ยังไม่มีชุมชนไหนที่จัดการขยะได้เลย”
เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนี้
สายัณห์
รู้สึกเหมือนตัวเองยืนต่อสู้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางกองขยะที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้นทุกวัน
แต่ด้วยความตั้งใจแน่วแน่เขาจึงรวมตัวกับอาสาสมัครในชุมชน
19 คน เริ่มด้วยการเข้าไปค้นหาข้อมูลเรื่องแยกขยะในโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง
จนในที่สุดเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ เมื่อไปพบเรื่องโครงการพระราชดำริฯ
แหลมผักเบี้ยที่เพชรบุรี พวกเขาจึงตัดสินใจควักเงินส่วนตัวเดินทางไปดูงานทันที
“ที่เราสนใจโครงการนี้เพราะตรงกับปัญหาของชุมชนของเรา
คือขยะอินทรีย์ที่จัดการไม่ได้ แล้วส่งกลิ่นเหม็นไปทั้งชุมชน
ในโครงการแหลมผักเบี้ย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านพูดถึงการกำจัดขยะอินทรีย์โดยไม่ต้องฝังดิน
กลับมาได้เดือนเดียวเราสร้างบ่อขยะเลย”
ทุกวันนี้ขยะอินทรีย์ของชุมชนถูกนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์น้ำปุ๋ยหมักและอื่น
ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้คนในชุมชนอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อชุมชนแยกขยะเปียกออกได้
จึงช่วยลดการปนเปื้อนของพลาสติกใช้แล้วและขยะรีไซเคิลอื่น ๆ ไปตามกัน
ดังนั้น
ขยะรีไซเคิลและขยะทั่วไปที่กองสุมเต็มหมู่บ้าน
คือเป้าหมายต่อไปที่จะต้องจัดการและปลายทางของโครงการนี้ที่สายัณห์บอกกับลูกบ้านทุกคน
“เราจะเป็นชุมชนที่ไม่มีถังขยะ”
“แม้ว่าเราจะมีความรู้เรื่องการคัดแยกประเภทขยะสอนให้กับชาวบ้านสามารถแยกได้ถูกต้องแล้ว
แต่เราต้องสร้างองค์ความรู้คือการบริหารจัดการขยะทุกประเภทด้วย
เราถึงจะทำให้ขยะหมดไปจากชุมชนได้”
แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้สู้ตามลำพังอีกแล้ว
เพราะมีหลาย ๆ องค์กรที่เห็นความพยายามและเข้ามาช่วยส่งเสริม เช่น กลุ่มบริษัท ดาว
ประเทศไทย
(Dow) ได้เข้ามาถ่ายทอดองค์ความรู้พร้อมสนับสนุนงบประมาณ
ทำให้คนในชุมชนมีความรู้ในการแยกพลาสติกใช้แล้วประเภทต่าง ๆ เดิมทีขายรวม ๆ
กันได้กิโลละแค่ 2-3 บาท
แต่ถ้าแยกประเภทให้ถูกต้อง บางอย่างสามารถขายได้ถึงกิโลละ 22 บาท
ทุกวันอาทิตย์เป็นวันนัดให้ทุกครัวเรือนในชุมชนนำขยะที่คัดแยกไว้เพื่อมาขายให้แก่
“ธนาคารขยะ”
ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับซื้อขยะรีไซเคิลทุกประเภท
และให้ราคารับซื้อสูงกว่าซาเล้งที่เข้ามารับซื้อประจำในหมู่บ้าน
สายัณห์เล่าถึงบทบาทของ
“ธนาคารขยะ” ที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นว่า “ธนาคารขยะไม่ได้แลกขยะเป็นเงิน
แต่เราให้เป็นของกินของใช้ภายในครัวเรือนในราคาต้นทุนที่ดีกว่าร้านค้าข้างนอก
เพื่อจูงใจให้ทุกคนมองว่าขยะมีมูลค่า สามารถแลกเป็นมาม่า น้ำปลาได้
เปลี่ยนเป็นแต้มสะสมที่คนในชุมชนนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟแทนได้เลย
วิธีนี้ทำให้ธนาคารประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นเลย ปัจจุบันนี้เรามีสมาชิกเกือบ
100% ในชุมชน”
“ผมยังตกใจลยว่า
1 ปี เราสามารถทำให้ขยะลดลงไปมากจากชุมชน เพราะเราเริ่มต้นจากสมาชิกเพียง 19 คนเท่านั้น มันเร็วเกินคาด แล้วตอนนั้นพวกเราไฟแรงมาก
เพราะเราสามารถสร้างต้นแบบการกำจัดขยะในแบบของเราเองได้สำเร็จ
ผมก็เลยส่งเข้าประกวดชุมชนต้นแบบเรื่องขยะระดับจังหวัด
กับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรฯ”
บนเส้นทางยากลำบากที่ต้องต่อสู้กับกลิ่นเหม็นของกองขยะ
แต่รางวัลแห่งความสำเร็จกลับหอมหวานช่วยให้ใจฟูมาก
“ตอนนั้นเราได้รับรางวัลชมเชยเป็นครั้งแรก
คือแบบดีใจน้ำตาไหลเลย เพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะมาถึงตรงนี้ได้
เชื่อไหมว่าพวกเรายังกลับไม่ถึงบ้านก็มีคนโทรเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์และขอมาดูงานที่ชุมชนเราแล้ว”
จากวันนั้นถึงวันนี้
ชุมชนวังหว้ากลายเป็นต้นแบบการกำจัดขยะแบบยั่งยืนที่มีหน่วยงานต่าง ๆ
มาขอดูงานทุกวัน
ขณะที่ผู้นำและชุมชนก็ร่วมมือกันปรับปรุงพัฒนาไม่หยุดทำให้สามารถกวาดรางวัลมาทุกเวทีกว่า
20 รางวัล กลายเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนอย่างมาก
แม้จะกวาดรางวัลมามากมาย
แต่ชุมชนวังหว้าไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น
พวกเขาเริ่มต่อยอดด้วยการรับซื้อขยะจากนอกชุมชนนำมาแปรรูปขยะให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนมากขึ้น
โดยมีหน่วยงานเอกชนเข้ามาสนับสนุนงบประมาณเครื่องจักรสำหรับแปรรูปพลาสติก อาทิ
ตะกร้าสานจากพลาสติกรีไซเคิล อิฐตัวหนอนผสมพลาสติกใช้แล้ว
และล่าสุดแปรรูปฝาขวดน้ำมาเป็นที่วางโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
และกำลังสำคัญที่จะทำให้โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ
ส่วนหนึ่งคือกลุ่มเปราะบางทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ และคนที่เคยใช้สารเสพติดมาก่อน
“เราร่วมมือกับ
Dow
ที่เข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้และอุปกรณ์ต่าง ๆ
รวมถึงสอนกลุ่มเปราะบางในชุมชนให้แยกขยะง่าย ๆ แรก ๆ
พวกเขาไม่รู้ว่าพลาสติกชนิดนั้นเป็น PP เป็นไฮเดน (High-Density
Polyethylene) แต่แค่ใช้มือจับก็รู้ว่าจะต้องโยนไปอยู่ในตะกร้าไหนได้ถูกต้อง
แต่ทุกวันนี้ สามารถจับและแยกระบุประเภทได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ”
“ป้าเย็น”
เป็นหนึ่งในตัวอย่างของกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนที่ปกติอยู่บ้านเลี้ยงหลาน
แต่กรรมการชุมชนต้องการให้กลุ่มสูงอายุเปราะบางมีรายได้เสริม
จึงชวนป้าเย็นมาช่วยแยกขยะ จากครั้งแรกที่บ่ายเบี่ยง
ปัจจุบันป้าเย็นมีรายได้เสริมจากการแยกขยะอย่างน้อยเดือนละ 3-4 พันบาท นอกจากนี้ป้าเย็นยังมีอาชีพเสริมจากการสานตะกร้าจากพลาสติกรีไซเคิลหรือทำหมวกจากกล่องกระดาษอีกด้วย
“ตอนนี้ถ้าเทศบาลเปิดหลักสูตรสอนอาชีพ
ป้าเย็นก็ได้รับเชิญไปเป็นครูสอน แต่ถ้าวันไหนมีคณะมาดูงานที่ชุมชนวังหว้า
ป้าเย็นก็จะมานั่งสอนเด็ก ๆ ให้สานตะกร้า แกมีความสุขที่ได้สอนคนนะ”
แล้วความสุขของสายัณห์และกลุ่มก่อตั้งคืออะไร
“ความสุขของเราคือส่งต่อแนวคิดชุมชนต้นแบบปลอดขยะไปสู่เยาวชนและชุมชนอื่น ๆ
ตอนนี้พวกเราต้องเดินทางเหนือจรดใต้ไปส่งต่อความรู้ ประสบการณ์
และวางแผนให้แต่ละชุมชนที่เขาเชิญมา
รวมทั้งกำลังสร้างคนต้นแบบที่จะมาต่อสู้กับเรื่องขยะและสิ่งแวดล้อมต่อจากพวกเรา
เปรียบดั่งกับต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวไม่สามารถทนลมกระโชกได้ยาวนานเพียงลำพัง
จำเป็นต้องมีต้นไม้อื่น ๆ ที่แข็งแรงล้อมรอบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและหยั่งรากลึก
พร้อมที่จะต่อกรกับสภาพอากาศที่แปรปรวนไปด้วยกัน”
เมื่อให้สรุปผลประกอบการของชุมชนวังหว้าในช่วง
10 ปีที่ผ่านมา สายัณห์กล่าวสั้น ๆ ว่า “เรามาไกลมากแล้ว
และไม่สามารถย้อนกลับไปจุดนั้นได้อีก คือถ้าวันนี้ไม่มีผู้นำชุมชนอย่างพวกผม
ที่นี่ก็จะไม่มีถังขยะกลับมาอีกแล้วเพราะเราคือหมู่บ้านปลอดถังขยะที่ขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืนจริง
ๆ”